เทคโนโลยีและการเมืองกำลังเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ในขณะที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กำลังจะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งต่างพากันบริจาคเงินและส่งตัวแทนเข้าร่วมงาน แต่ TSMC กลับเลือกที่จะไม่เข้าร่วม ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น
บริษัทเทคโนโลยีแห่บริจาคเงินให้พิธีสาบานตน
ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Google, Apple, Microsoft, Meta และ OpenAI ต่างพากันบริจาคเงินจำนวนมหาศาลให้กับพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่ โดยยอดบริจาคครั้งนี้สูงกว่าที่เคยบริจาคให้กับรัฐบาลชุดก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงยอมทุ่มเงินมากขนาดนี้? คำตอบก็คือพวกเขาต้องการเอาใจประธานาธิบดีคนใหม่ เพื่อหวังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์เคยขู่ว่าจะเรียกเก็บ ซึ่งถ้าโดนเก็บจริงๆ ก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจของพวกเขา
TSMC ปฏิเสธการเข้าร่วมงาน
แต่ท่ามกลางกระแสการเข้าร่วมงานของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ TSMC กลับเลือกที่จะไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วม และไม่บริจาคเงินให้กับพิธีสาบานตนครั้งนี้
ซีอีโอของ TSMC อย่าง C.C Wei ได้ให้เหตุผลว่า บริษัทชอบที่จะรักษาตัวเองให้อยู่ในโปรไฟล์ต่ำ แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง TSMC และทรัมป์
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวหาว่า TSMC “ขโมย” ธุรกิจของอเมริกาไปไว้ที่ไต้หวัน คำพูดในลักษณะนี้บ่งบอกว่าประธานาธิบดีคนใหม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อโมเดลธุรกิจของ TSMC
หลังจากที่ทรัมป์ออกมาพูดแบบนี้ TSMC ก็ได้ระงับการก่อสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ไว้ก่อน เพื่อรอดูว่าทรัมป์จะทำอะไรหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
“การบริจาคเงินให้กับพิธีสาบานตนไม่ได้รับประกันว่าจะช่วยแก้ปัญหาของ TSMC ได้ ดังนั้นการถอยออกมาสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก่อนจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบริษัทในตอนนี้”
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าทรัมป์จริงจังกับการขึ้นภาษีนำเข้า TSMC อาจต้องประเมินใหม่ทั้งหมดว่าจะทำธุรกิจกับสหรัฐฯ อย่างไร แต่การทำศัตรูกับบริษัทที่ “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” อย่าง TSMC ก็จะส่งผลเสียต่อธุรกิจในสหรัฐฯ เองในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม TSMC อาจกำลังพนันว่า Apple และบริษัทอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาชิปของพวกเขาจะช่วยกดดันทรัมป์ให้ผ่อนปรนลงได้
เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าความสัมพันธ์ระหว่าง TSMC กับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีอย่างไรบ้างในอนาคต