สงครามการค้าครั้งใหม่กำลังจะส่งผลกระทบต่อวงการโทรคมนาคมสหรัฐฯ อย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่อย่าง Verizon, T-Mobile และ AT&T ที่อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้บริโภคอย่างเราๆ อาจต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ด้วย
ผลกระทบต่อราคาสมาร์ทโฟน
แม้ว่าผู้ให้บริการเครือข่ายจะพยายามปกปิดการขึ้นราคา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาสมาร์ทโฟนจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอาจเพิ่มขึ้น 150-200 ดอลลาร์ต่อเครื่อง ไม่ว่าจะซื้อผ่านผู้ผลิตโดยตรงหรือผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย
ผู้ให้บริการอาจใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อบิดเบือนการขึ้นราคา เช่น:
- ปรับลดมูลค่าการแลกเปลี่ยนเครื่องเก่า
- ขยายระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้น
ทำให้ผู้บริโภคอาจไม่รู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นของราคาในทันที
ผลกระทบต่อการพัฒนาเครือข่าย
นอกจากนี้ ต้นทุนอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานจากซัพพลายเออร์อย่าง

Nokia และ Ericsson ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ผู้ให้บริการต้องเลือกระหว่าง:
- เพิ่มงบประมาณการลงทุนโครงข่าย ซึ่งจะกระทบกำไร
- ชะลอการขยายและปรับปรุงเครือข่าย
นักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้ให้บริการจะเลือกทางเลือกที่ 2 นั่นหมายความว่าการพัฒนาเครือข่าย 5G และเทคโนโลยีในอนาคตอย่าง 6G อาจต้องเผชิญความล่าช้า
“เว้นแต่ว่า T-Mobile, AT&T และ Verizon จะหาทางเพิ่มรายได้ เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือขึ้นค่าบริการรายเดือน เพื่อนำเงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อไป”
แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นไปได้ว่าผู้บริโภคอาจต้องเตรียมรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้
สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าสงครามการค้าไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็อาจต้องแบกรับภาระนี้ด้วยเช่นกัน