สถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การเชื่อมต่อสื่อสารกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยามวิกฤต T-Mobile จึงเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายให้แข็งแกร่งและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้บริการยังคงติดต่อสื่อสารได้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
T-Mobile ยกระดับเครือข่ายรับมือภัยพิบัติ
T-Mobile ได้ปรับปรุงเทคโนโลยีหลายอย่างเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่าย โดยเฉพาะในด้านการรับมือกับภัยพิบัติ ได้แก่:
- อัพเกรด Self-Organizing Network (SON) ใช้ AI ตรวจจับการขัดข้อง ปรับเสาสัญญาณ และเพิ่มประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติ
- บริการ Satellite-to-mobile ที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อสัญญาณปกติล่ม ช่วยให้ส่งข้อความได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ
- ผสานระบบแจ้งเตือนแบบ real-time ของ Dataminr เข้ากับศูนย์บัญชาการ เพื่อตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น
- เพิ่มจำนวนรถ SatCOW และ SatCOLT พร้อมเสาสัญญาณสูง 80-100 ฟุต สำหรับกู้คืนการเชื่อมต่อ

ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยให้ T-Mobile ตอบสนองต่อภัยพิบัติได้รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
- หลังพายุเฮเลนและมิลตัน สามารถกู้คืนบริการให้ลูกค้า 99% ภายใน 72 ชั่วโมง เร็วกว่าเดิม 2 เท่า
- ระหว่างไฟป่าในแคลิฟอร์เนียใต้ นำเครือข่าย 99% กลับมาใช้งานได้ภายใน 9 วัน
นอกจากนี้ยังแจกอุปกรณ์ชาร์จ ฮอตสปอต และอินเทอร์เน็ตบ้านฟรีให้ผู้ประสบภัยทุกเครือข่าย

T-Priority สำหรับหน่วยกู้ภัย
T-Mobile ยังมีบริการ T-Priority ซึ่งเป็นเครือข่าย 5G เฉพาะสำหรับหน่วยกู้ภัย ให้ทรัพยากรเครือข่ายมากกว่าผู้ใช้ทั่วไปถึง 5 เท่า ทำให้มีความเร็วสูงและเข้าถึงเครือข่ายได้ก่อนแม้ในสภาวะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น
ความพยายามของ T-Mobile แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมเครือข่ายก่อนเกิดภัยพิบัติ เพราะการสื่อสารที่เสถียรอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามวิกฤต