Pixel, Galaxy, iPhone: ใครซ่อมง่ายที่สุดในปี 2024?

Repairing Pixels, Galaxies, and iPhones: 2024's Fixability Landscape

สมาร์ทโฟนที่ซ่อมแซมได้ง่ายกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตามอง! ในปี 2024 นี้ แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Samsung และ Apple ต่างก็เริ่มให้ความสำคัญกับการออกแบบสมาร์ทโฟนให้ซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น แต่แต่ละแบรนด์ก็มีแนวทางที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าฟีเจอร์ด้านการซ่อมแซมของเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Pixel 9, Galaxy S24 และ iPhone 16 จะน่าสนใจแค่ไหน

Google Pixel 9: ก้าวสำคัญของการซ่อมแซม

Google ได้นำเสนอนวัตกรรมการออกแบบ “dual-entry” ใน Pixel 9 ซึ่งช่วยให้เข้าถึงชิ้นส่วนภายในได้ทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้การซ่อมแซมทั่วไปอย่างการเปลี่ยนหน้าจอหรือแบตเตอรี่ทำได้ง่ายขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม iFixit ได้ชี้ให้เห็นจุดอ่อนสำคัญคือ:

  • แบตเตอรี่ยังคงติดแน่นด้วยกาวที่แข็งแรง ทำให้การถอดเปลี่ยนยังคงมีความเสี่ยงต่อการทำให้ชิ้นส่วนอื่นๆ เสียหายได้

แม้ว่า Google จะร่วมมือกับ iFixit ในการจัดหาชิ้นส่วนและคู่มือการซ่อม แต่การใช้กาวยึดแบตเตอรี่ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้ Pixel 9 ได้คะแนนความสามารถในการซ่อมแซมเพียง 5/10 เท่านั้น

Samsung Galaxy S24: ยังคงรูปแบบเดิม

Samsung ยังคงใช้แนวทางการออกแบบแบบเดิมใน Galaxy S24 โดยมีจุดเด่นคือ:

  • ชิ้นส่วนภายในถูกออกแบบเป็นโมดูล ทำให้การเปลี่ยนกล้อง พอร์ต USB-C หรือลำโพงทำได้ค่อนข้างง่าย
  • มีอะไหล่แท้จาก Samsung ให้เลือกใช้

แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญคือ:

  • ยังคงใช้กาวยึดทั้งฝาหลังและหน้าจอ ทำให้การถอดประกอบยากสำหรับมือสมัครเล่น
  • การใช้กาวช่วยเสริมความแข็งแรงของตัวเครื่อง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการซ่อมแซมด้วย

Apple iPhone 16: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่

iPhone 16 และ 16 Plus ถือเป็นรุ่นที่ซ่อมแซมได้ง่ายที่สุดของ Apple โดยมีจุดเด่นคือ:

  • ใช้กาวพิเศษที่คลายตัวได้ด้วยไฟฟ้าในการยึดแบตเตอรี่ ทำให้การถอดเปลี่ยนทำได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น
  • ออกแบบเป็นโมดูลมากขึ้น ทำให้การเปลี่ยนชิ้นส่วนอย่างกระจกด้านหลังหรือหน้าจอทำได้ง่าย

ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ ทำให้ iPhone 16 ได้คะแนนความสามารถในการซ่อมแซมสูงถึง 7/10 จาก iFixit ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับ Apple

อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์ที่ตรวจสอบการใช้ชิ้นส่วนไม่ได้รับการรับรอง ซึ่งอาจทำให้บางฟีเจอร์ไม่ทำงานหรือแสดงข้อความเตือน

เส้นทางสู่ความสามารถในการซ่อมแซมของแต่ละแบรนด์

แต่ละแบรนด์มีแนวทางการพัฒนาความสามารถในการซ่อมแซมที่แตกต่างกัน:

Apple: จากการต่อต้านสู่การปฏิรูป

  • เคยใช้นโยบายต่อต้านการซ่อมอย่างหนัก ใช้สกรูพิเศษ กาวแข็งแรง และล็อคซอฟต์แวร์
  • ปัจจุบันเปิดโปรแกรม Self Service Repair ให้ผู้ใช้สามารถซื้ออะไหล่และเครื่องมือได้
  • iPhone 16 แสดงให้เห็นว่า Apple พร้อมปรับตัวตามแรงกดดันจากภายนอก

Samsung: พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

  • ใช้การออกแบบแบบโมดูลมานาน ทำให้การเปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างทำได้ง่าย
  • แต่ยังคงพึ่งพาการใช้กาวและจำกัดการเข้าถึงอะไหล่นอกเครือข่ายที่ได้รับอนุญาต

Google: ผู้นำด้านความโปร่งใส

  • เข้าสู่ตลาดช้ากว่า แต่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วในด้านความสามารถในการซ่อมแซม
  • ร่วมมือกับ iFixit ให้เข้าถึงอะไหล่ เครื่องมือ และคู่มือการซ่อมได้ง่าย
  • Pixel 9 แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่เอื้อต่อการซ่อมแซมมากขึ้น

อนาคตของสมาร์ทโฟนที่ซ่อมแซมได้

แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าไปมาก แต่ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Fairphone 5 ที่ออกแบบมาเพื่อการซ่อมแซมโดยเฉพาะ

“Fairphone 5 แสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นไปได้เมื่อให้ความสำคัญกับการซ่อมแซมเป็นอันดับแรก การออกแบบแบบโมดูลทั้งหมด ชิ้นส่วนมาตรฐาน และความโปร่งใสด้านความยั่งยืน ให้ภาพของอนาคตที่การซ่อมโทรศัพท์ง่ายเหมือนการเปลี่ยนชิ้นส่วน”

ในอนาคต เราอาจเห็นการนำแนวคิดเหล่านี้มาใช้กับสมาร์ทโฟนหลักๆ มากขึ้น:

  • การใช้ชิ้นส่วนแบบโมดูลอย่างแพร่หลาย
  • มาตรฐานการซ่อมแซมที่เป็นสากล
  • นโยบายการซ่อมแซมที่โปร่งใสมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ความสามารถในการซ่อมแซมกลายเป็นจุดขายสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนในอนาคต

Facebook Comments Box

Leave a Reply