ผู้ที่รักสมาร์ทโฟนทั้งหลาย เตรียมใจรับข่าวร้ายกันได้เลยค่ะ! ดูเหมือนว่าราคาไอโฟนรุ่นมาตรฐานที่เราคุ้นเคยมาตลอดหลายปีกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว จากข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Apple อาจจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา สาเหตุหลักมาจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตของ Apple
ภาษีนำเข้าพุ่งสูง กระทบการผลิตของ Apple
Mark Gurman นักวิเคราะห์ชื่อดังจาก Bloomberg ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่ Apple กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ ส่งผลให้:
- จีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตหลักของ Apple ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงถึง 54%
- ประเทศอื่นๆ ที่ Apple มีโรงงานผลิต เช่น อินเดีย เวียดนาม และบราซิล ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
- Tim Cook ซีอีโอของ Apple ไม่สามารถเจรจาขอยกเว้นภาษีได้เหมือนในสมัยที่ Trump ดำรงตำแหน่งวาระแรก
สถานการณ์นี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Apple ตกลงอย่างหนัก พร้อมกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ทำให้ Apple ต้องเร่งหาทางออกโดยด่วน
ราคาไอโฟนอาจทะลุ $1,000 เป็นครั้งแรก
หนึ่งในทางออกที่ Apple กำลังพิจารณาคือการปรับราคาขายปลีกของไอโฟนรุ่นมาตรฐานให้สูงขึ้น โดยอาจทะลุหลัก $1,000 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัว iPhone X ในปี 2017
“การขึ้นราคาอาจเพิ่มขึ้นเพียง $50 แต่การทะลุหลัก 1,000 ดอลลาร์จะสร้างความตกใจให้กับผู้บริโภคอย่างมาก” – Mark Gurman
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:
- ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับราคาไอโฟนต่ำกว่า $1,000 อาจเกิดความไม่พอใจ
- อาจทำให้ผู้ใช้บางส่วนเปลี่ยนใจไปใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น
- กระทบต่อยอดขายโดยรวมของ Apple ในระยะยาว
แม้ว่า Apple จะยังคงมีรุ่นราคาประหยัดอย่าง iPhone SE อยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงที่การอัพเกรดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Apple ไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า Apple จะตัดสินใจอย่างไรกับสถานการณ์นี้ และผู้บริโภคจะตอบรับอย่างไรหากราคาไอโฟนพุ่งทะลุหลักพันดอลลาร์จริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้