สงครามภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกำลังส่งผลกระทบต่อราคา iPhone อย่างหนัก ทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่า Apple จะต้องปรับขึ้นราคาสมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยมนี้หรือไม่
ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 125% ซึ่งรวมถึง iPhone ด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ราคา iPhone อาจพุ่งสูงขึ้นถึง 29%
จากการวิเคราะห์ของ UBS Investment Research ราคา iPhone ที่ผลิตในจีนอาจเพิ่มขึ้นถึง 29% เพื่อชดเชยภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น นั่นหมายความว่า:
- iPhone 16 Pro Max รุ่นเริ่มต้นอาจมีราคาสูงถึง $1,549 จากเดิม $1,199
- iPhone 16 Pro อาจขึ้นราคาจาก $999 เป็น $1,299
- iPhone 16 รุ่นปกติอาจมีราคาสูงถึง $1,039 จากเดิม $799
นี่อาจเป็นจุดจบของนโยบายรักษาระดับราคาที่ Apple ยึดถือมาหลายปี โดยปกติบริษัทจะพยายามคงราคา iPhone ไว้เท่าเดิมในทุกรุ่น แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
Apple มีทางเลือกอะไรบ้าง?
Apple มีทางเลือกไม่มากนักในการรับมือกับภาษีนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น:
- ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน – แต่ก็ยังไม่มีประเทศไหนที่มีความพร้อมด้านแรงงานและห่วงโซ่อุปทานเท่าจีน
- ย้ายการผลิตกลับสหรัฐฯ – แต่จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมาก ราคา iPhone อาจพุ่งถึง $3,500 ต่อเครื่อง
- กระจายการผลิตไปยังหลายประเทศ – เช่น อินเดียหรือเวียดนาม แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างระบบใหม่
- แบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเอง – แต่จะกระทบกำไรของบริษัทอย่างหนัก
- ปรับขึ้นราคาขาย – ซึ่งอาจทำให้ยอดขายลดลง
ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวอย่างไร?
เราอาจเห็นการปรับขึ้นราคา iPhone ครั้งใหญ่ในเร็วๆ นี้ ผู้ที่วางแผนซื้อ iPhone รุ่นใหม่ควรเตรียมงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20-30% จากราคาปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะตัดสินใจอย่างไร เราต้องติดตามการประกาศอย่างเป็นทางการจากบริษัทต่อไป แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ยุคของราคา iPhone ที่คาดเดาได้ง่ายกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“การบอกว่าเราสามารถผลิต iPhone ในสหรัฐฯ ได้นั้น เป็นการประเมินความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในเอเชียต่ำเกินไปมาก” – Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush
สงครามการค้าครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการสมาร์ทโฟน ที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในระยะยาว เราจะได้เห็นกันว่า Apple จะรับมือกับความท้าทายครั้งนี้อย่างไร