Google Wallet เปิดตัวบัตรประจำตัวดิจิทัลในแคลิฟอร์เนีย ชีวิตง่ายขึ้นอีกขั้น!

Google Wallet launches Digital IDs for California residents

สุดยอดไปเลยค่ะ! Google Wallet เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับชาวแคลิฟอร์เนีย นั่นคือการรองรับบัตรประจำตัวดิจิทัลอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติวิธีการแสดงตัวตนของเราในยุคดิจิทัลนี้ค่ะ

ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจของ Google Wallet

Google Wallet ได้เพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้ในแคลิฟอร์เนียสามารถเก็บใบขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชาชนแบบดิจิทัลไว้ในแอปได้แล้ว โดยมีจุดเด่นสำคัญดังนี้:

  • รองรับการใช้งานที่จุดตรวจ TSA ในสนามบินหลักของแคลิฟอร์เนีย เช่น LAX, SJC และ SFO
  • ช่วยให้การแสดงตัวตนทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้นในชีวิตประจำวัน
  • แคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับอีก 4 รัฐที่รองรับบัตรดิจิทัลใน Google Wallet ได้แก่ แอริโซนา โคโลราโด จอร์เจีย และแมริแลนด์
  • ผู้ใช้ Android เวอร์ชัน 9.0 ขึ้นไปที่มีบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐเหล่านี้สามารถใช้งานได้ทันที

ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญสูงสุด

Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอย่างมากสำหรับการเก็บข้อมูลส่วนตัวใน Google Wallet:

  • บัตรประจำตัวจะถูกเข้ารหัสเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การแชร์ข้อมูลส่วนตัวจะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใช้ก่อนเสมอ
  • ผู้ใช้ต้องยืนยันตัวตนบนอุปกรณ์และเลือกข้อมูลที่ต้องการแชร์เท่านั้น
  • การส่งข้อมูลระหว่างโทรศัพท์และเครื่องอ่านจะใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย
  • กรณีโทรศัพท์หาย สามารถลบบัตรออกจาก Google Wallet ได้ผ่านบัญชี Google หรือติดต่อ DMV โดยตรง

วิธีเพิ่มบัตรประจำตัวลงใน Google Wallet

การเพิ่มบัตรประจำตัวลงใน Google Wallet ทำได้ง่ายๆ ดังนี้:

  1. เปิดแอป Google Wallet และแตะ “Add to Wallet”
  2. เลือก “ID Card” และเลือกรัฐของคุณ
  3. ยืนยันตัวตนโดยสแกนบัตรทั้งสองด้าน บันทึกวิดีโอสั้นๆ และส่งคำขอไปยังหน่วยงานของรัฐ
  4. เมื่อได้รับการอนุมัติ บัตรจะพร้อมใช้งานในแอป

อนาคตของบัตรประจำตัวดิจิทัลในแคลิฟอร์เนีย

การรองรับบัตรดิจิทัลใน Google Wallet ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบ Digital Identity Framework ของแคลิฟอร์เนีย โดยมีเป้าหมายดังนี้:

  • เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนสำหรับบริการต่างๆ ของรัฐ
  • ขยายการยอมรับการใช้งาน mDL ในภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
  • บูรณาการ mDL เข้ากับระบบ Digital ID Framework ในอนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการใช้งาน

แม้โครงการนำร่องจะจำกัดผู้เข้าร่วมที่ 1.5 ล้านคนในขณะนี้ แต่ศักยภาพในการปฏิวัติวิธีการแสดงตัวตนในชีวิตประจำวันนั้นชัดเจนมาก และน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งค่ะ

Facebook Comments Box

Leave a Reply