การเดินทางของ Pixel “a” series จาก 3a สู่ 9a: วิวัฒนาการของราชาสมาร์ทโฟนสุดคุ้มจาก Google
ใครจะคิดว่าสมาร์ทโฟนราคาประหยัดจาก Google จะกลายเป็นตำนานได้ขนาดนี้? จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 7 ปีก่อนกับ Pixel 3a ที่ราคาเพียง $400 จนถึง Pixel 9a ในปัจจุบันที่ราคา $499 ซีรีส์ “a” ของ Google ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสมาร์ทโฟนคุณภาพเยี่ยมไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงลิบลิ่ว มาดูกันว่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมา Google ได้พัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นประหยัดของพวกเขาอย่างไรบ้าง
Pixel 3a และ 3a XL (2019): จุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่ง
Pixel 3a และ 3a XL เป็นการกลับมาของจิตวิญญาณ Google Nexus อีกครั้ง ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง $400 แต่มาพร้อมกล้องคุณภาพเทียบเท่า Pixel 3 รุ่นเรือธงที่มีราคาสูงถึง $800 แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างเช่นตัวเครื่องพลาสติก ชิปประมวลผลรุ่นกลาง และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำกัด แต่ Pixel 3a ก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ของ 3a XL ที่อยู่ได้นานถึง 11 ชั่วโมงในการทดสอบของเรา
Pixel 4a (และ 4a 5G) (2020): รุ่นที่ถูกที่สุดตามด้วยรุ่นแรกที่ราคาถึง $500
Pixel 4a มาพร้อมการออกแบบที่ทันสมัยขึ้นด้วยหน้าจอ OLED แบบ edge-to-edge และกล้องหน้าแบบ punch-hole ในราคาเพียง $349 นอกจากนี้ยังมาพร้อมชิปประมวลผลที่ดีขึ้นและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมาตรฐานที่ 128GB
ต่อมาในปีเดียวกัน Google ได้เปิดตัว Pixel 4a 5G ที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่ขึ้น กล้องคู่ด้านหลัง และชิปเซ็ต Snapdragon 765G เดียวกับ Pixel 5 ในราคา $499
Pixel 5a (2021): การปรับปรุงสูตรให้ดีขึ้น
Pixel 5a มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4,680 mAh ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 2 วัน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงความทนทานด้วยมาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP67 ซึ่งหาได้ยากในสมาร์ทโฟนราคานี้ โดยรวมแล้ว Pixel 5a เป็นการปรับปรุง Pixel 4a 5G ให้ดีขึ้นในทุกด้าน
Pixel 6a (2022): ต้อนรับ Tensor และอัตลักษณ์ใหม่
Pixel 6a นับเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของซีรีส์ “a” ด้วยการออกแบบใหม่ที่โดดเด่นด้วยแถบกล้องด้านหลังแบบ visor และการใช้ชิป Tensor G1 ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งเป็นชิปเดียวกับที่ใช้ใน Pixel 6 รุ่นเรือธง อย่างไรก็ตาม Pixel 6a ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง โดยเฉพาะปัญหาบั๊กจำนวนมากและแบตเตอรี่ที่อยู่ได้เพียงแค่วันเดียว
Pixel 7a (2023): แก้ไขข้อผิดพลาดและขัดเกลาผลิตภัณฑ์
Pixel 7a มาพร้อมการปรับปรุงมากมาย ทั้งชิป Tensor G2 แรม 8GB หน้าจอ 90Hz และกล้องหลัก 64MP ใหม่ นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์ชาร์จไร้สายที่แฟนๆ รอคอยมานาน แม้จะมีการขึ้นราคาเป็น $500 แต่ Pixel 7a ก็ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าอย่างมาก
Pixel 8a (2024): นักฆ่าเรือธง
Pixel 8a มาพร้อมหน้าจอ OLED 120Hz ชิป Tensor G3 และการสนับสนุนอัปเดตซอฟต์แวร์นาน 7 ปี เช่นเดียวกับ Pixel 8 และ 8 Pro นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ AI ใหม่ๆ และกล้องที่ให้คุณภาพภาพยอดเยี่ยม ทำให้ Pixel 8a เป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าอย่างเหลือเชื่อในราคา $499
Pixel 9a (2025): อีกก้าวที่ก้าวหน้า (และสูงขึ้น)
Pixel 9a รุ่นล่าสุดมาพร้อมชิป Tensor G4 หน้าจอ OLED 120Hz ความสว่างสูงสุด 2700 nits และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,100 mAh ที่ Google อ้างว่าให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุดในบรรดา Pixel ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกล้องหลัก 48MP ใหม่ที่ Google บอกว่า “เกือบจะ” เหมือนกับกล้องใน Pixel 9 Pro Fold
แม้ว่าการออกแบบจะเปลี่ยนไปโดยไม่มีแถบกล้องแบบ visor อีกต่อไป แต่ Pixel 9a ก็ยังคงรักษาจุดแข็งของซีรีส์ “a” ไว้ได้อย่างดี ด้วยการนำเสนอฮาร์ดแวร์ระดับเรือธงและกล้องคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้
สรุป: วิวัฒนาการของราชาสมาร์ทโฟนสุดคุ้ม
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา Pixel “a” series ได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยยังคงรักษาแก่นและหลักการสำคัญไว้ได้ ซีรีส์นี้เริ่มต้นจากการทดลองนำกล้องระดับเรือธงมาใส่ในสมาร์ทโฟนระดับกลาง และต่อมาก็ขยายแนวคิดนี้ไปสู่ประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ เทคโนโลยีหน้าจอ และคุณภาพการประกอบ
สิ่งที่สำคัญคือ Google สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยที่ราคายังคงอยู่ในช่วง $449-$499 พิสูจน์ให้เห็นว่าสมาร์ทโฟนคุณภาพดีไม่จำเป็นต้องมีราคาสูงถึง $800 เสมอไป จาก Pixel 3a ถึง Pixel 9a Google ได้พัฒนาสูตรของพวกเขาจนกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด
หวังว่า Google จะยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์นี้ต่อไปในอนาคต เพราะ Pixel “a” series ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคือ “ราชาสมาร์ทโฟนสุดคุ้ม” ตัวจริง