เทคโนโลยีและการเมืองกำลังผสานกันอย่างน่าสนใจในสหรัฐอเมริกา เมื่อผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Meta ต่างทยอยเข้าพบประธานาธิบดีคนใหม่อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
Google CEO เตรียมเข้าพบทรัมป์ท่ามกลางความท้าทาย
ตามรายงานจาก The Information ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google มีกำหนดเข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ที่คลับมาร์-อา-ลาโก ในรัฐฟลอริดา ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ Google และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ อย่างรุนแรงในอดีต
แม้ว่าท่าทีของทรัมป์ต่อ Google จะดูผ่อนคลายลงบ้าง แต่รัฐบาลชุดใหม่ของเขาอาจยังมีอิทธิพลต่อคดีต่อต้านการผูกขาดที่ Google กำลังเผชิญอยู่ นอกจากนี้ พิชัยยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากอิทธิพลของอีลอน มัสก์ คู่แข่งสำคัญในวงการเทคโนโลยี
Mark Zuckerberg บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กองทุนพิธีสาบานตนของทรัมป์
ในขณะเดียวกัน Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Meta ก็ได้บริจาคเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่กองทุนพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างน่าสนใจ หลังจากที่ทั้งสองเคยมีความขัดแย้งกันในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา
“การบริจาคของ Zuckerberg เกิดขึ้นหลังจากการพูดคุยหลายครั้งกับทีมงานของทรัมป์ รวมถึงการรับประทานอาหารเย็นส่วนตัวที่มาร์-อา-ลาโกด้วย”
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องนโยบายการย้ายถิ่นฐาน แต่ Zuckerberg ก็ได้แสดงความชื่นชมต่อภาวะผู้นำของทรัมป์ และหวังว่าจะได้ร่วมมือกันในการกำหนดกฎระเบียบสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต
Jeff Bezos แสดงท่าทีประนีประนอมต่อทรัมป์เช่นกัน
Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ก็ได้แสดงท่าทีประนีประนอมต่อทรัมป์เช่นเดียวกัน โดยกล่าวชื่นชมชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของทรัมป์ว่าเป็น “การกลับมาทางการเมืองที่น่าทึ่ง” และสังเกตว่าทรัมป์ดูสงบและมั่นใจมากขึ้นกว่าในสมัยแรกที่ดำรงตำแหน่ง
ท่าทีของ Bezos สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนจากการที่ Washington Post ซึ่งเขาเป็นเจ้าของ ตัดสินใจไม่สนับสนุนผู้สมัครคนใดในการเลือกตั้งครั้งนี้
การเคลื่อนไหวของผู้นำบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลชุดใหม่ของทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายและการกำกับดูแลอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้ เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในวงการเทคโนโลยีจะพัฒนาไปในทิศทางใด