เรื่องราวล่าสุดในวงการเทคโนโลยีกำลังสร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่าอดีต CEO ของ Activision Blizzard กำลังวางแผนที่จะซื้อกิจการ TikTok แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยมระดับโลก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอดูทิศทางทางการเมืองก่อนที่จะตัดสินใจ
Bobby Kotick สนใจซื้อ TikTok แต่รอดูท่าทีของทรัมป์ก่อน
The Information รายงานว่า Bobby Kotick อดีต CEO ของ Activision Blizzard ยังคงสนใจที่จะซื้อกิจการ TikTok อยู่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอให้โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งก่อนที่จะดำเนินการต่อ
ทั้งนี้ TikTok กำลังเผชิญกับเส้นตายในวันที่ 19 มกราคม ที่จะต้องตัดความสัมพันธ์กับบริษัทแม่ในจีนอย่าง ByteDance หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ตามกฎหมายที่ผ่านเมื่อต้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ได้เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม เขาอาจจะเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 90 วัน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ Kotick และนักลงทุนรายอื่นๆ ได้เจรจาซื้อกิจการ
ยังไม่มีการเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า Kotick ยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการอย่างเป็นทางการให้กับผู้ถือหุ้นของ ByteDance แต่อย่างใด กำหนดการของเขาบ่งชี้ว่าหากการแบนมีผลบังคับใช้ แม้จะเป็นการชั่วคราว การเจรจาอาจจะเร่งตัวขึ้นหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
ในขณะเดียวกัน ByteDance ก็กำลังท้าทายกฎหมายในศาล โดยขอให้มีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายฉุกเฉินเพื่อให้มีเวลาในการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา หรือเจรจากับรัฐบาลชุดใหม่
ByteDance ยังไม่มีทีท่าจะขาย
“เราจะไม่ขาย TikTok” – ByteDance
แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย แต่ ByteDance ก็ยังไม่มีทีท่าที่จะขาย TikTok แต่อย่างใด อีกทั้งการขายกิจการใดๆ ก็จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีนด้วย
นอกจากนี้ การควบคุมการส่งออกของจีนเกี่ยวกับอัลกอริธึมซอฟต์แวร์ รวมถึงอัลกอริธึมที่ TikTok ใช้ในการแนะนำวิดีโอ ก็ยิ่งทำให้ข้อตกลงใดๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น
Kotick เชื่อว่าตนมีความได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม Kotick เชื่อว่าความสัมพันธ์อันยาวนานของเขาในจีน ที่พัฒนาขึ้นระหว่างดำรงตำแหน่งที่ Activision ผ่านการร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent และ NetEase จะทำให้เขามีความได้เปรียบในการเจรจา
นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ Zhang Yiming ผู้ก่อตั้ง ByteDance ซึ่งอาจช่วยอำนวยความสะดวกในการเจรจาได้
ในฐานะนักเขียนข่าวเทคโนโลยี ดิฉันมองว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวเหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก หาก ByteDance และรัฐบาลจีนตัดสินใจที่จะไม่ขายกิจการ ทั้งนี้ เราคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปว่าจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้