DOJ เล็งให้ Google ขาย Chrome แต่ยังคง Android ไว้ พร้อมข้อจำกัดสำคัญ

DOJ: Google must sell Chrome, keep Android with restrictions

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เดินหน้าบีบ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome แต่ยังคงให้ถือครอง Android ไว้ได้ นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในคดีต่อต้านการผูกขาดที่กำลังดำเนินอยู่

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ยังคงยืนยันจุดยืนให้ Google ต้องขายเบราว์เซอร์ Chrome ออกไป แม้จะอนุญาตให้บริษัทยังคงเป็นเจ้าของ Android ต่อไปได้ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาดตลาดเสิร์ชเอนจิน โดย DOJ มองว่า Chrome เป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต การที่ Google เป็นเจ้าของทั้ง Chrome และเสิร์ชเอนจินที่ครองตลาดอยู่นั้น เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม

ทำไม DOJ ถึงต้องการให้ Google ขาย Chrome?

DOJ เชื่อว่าการบังคับให้ Google ขาย Chrome จะช่วยเปิดโอกาสให้คู่แข่งรายใหม่สามารถสร้างช่องทางการเข้าถึงการค้นหาบนอินเทอร์เน็ตที่สำคัญได้ โดยปราศจากการควบคุมของ Google ซึ่งจะช่วยสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้น และเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นๆ ได้แข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์และเสิร์ชเอนจิน

อย่างไรก็ตาม การขาย Chrome อาจสร้างความท้าทายหลายประการ เช่น:

  • ความไม่แน่นอนว่าเจ้าของใหม่จะบริหารจัดการเบราว์เซอร์อย่างไร
  • อนาคตของโครงการโอเพนซอร์ส Chromium ที่ Google เป็นผู้ดูแลอยู่ในปัจจุบัน
  • ผลกระทบต่อบริษัทและนักพัฒนาจำนวนมากที่พึ่งพา Chromium

ข้อเสนอใหม่ของ DOJ มีอะไรเปลี่ยนแปลง?

ในข้อเสนอฉบับปรับปรุงล่าสุด DOJ ได้ถอนข้อเรียกร้องให้ Google ขาย Android ออกไป โดยมุ่งเน้นไปที่ Chrome เป็นหลัก นอกจากนี้ยังผ่อนปรนข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI ของ Google โดยเพียงกำหนดให้บริษัทต้องแจ้ง DOJ เมื่อมีการลงทุนใหม่ๆ เท่านั้น

“เราได้พิสูจน์แล้วว่า Google ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในการพิจารณาคดีระดับมหากาพย์ของรัฐบาลกลาง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้ แพ็กเกจการเยียวยาขั้นสุดท้ายที่เสนอในวันนี้จะทำให้ Google ต้องรับผิดชอบต่อการผูกขาดการค้นหา และปกป้องผู้บริโภคโดยการส่งเสริมการแข่งขัน” – อัยการสูงสุดแห่งรัฐเทนเนสซี Skrmetti, 7 มีนาคม 2025

อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?

Google มีกำหนดจะนำเสนอข้อเสนอฉบับปรับปรุงของตนเองในเร็วๆ นี้ โดยบริษัทได้แสดงเจตนาที่จะอุทธรณ์คำตัดสินเรื่องการผูกขาดในเบื้องต้น กระบวนการทางกฎหมายจะดำเนินต่อไป โดยมีกำหนดการไต่สวนในเดือนเมษายน และคาดว่าจะมีคำตัดสินสุดท้ายก่อนเดือนกันยายน 2025

การพัฒนาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการถกเถียงที่ยังคงดำเนินอยู่เกี่ยวกับวิธีการกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และการสร้างตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ผลลัพธ์ของคดีนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต

Facebook Comments Box

Leave a Reply