เทคโนโลยีชิปของจีนกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหม่ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าโดนัลด์ ทรัมป์อาจกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนเร่งปรับกลยุทธ์รับมือ ทั้งเพิ่มการนำเข้าอุปกรณ์ผลิตชิป แสวงหาบุคลากรจากต่างประเทศ และสร้างพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อรับมือกับมาตรการคว่ำบาตรที่อาจเข้มข้นขึ้น
จีนเร่งสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมชิป
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้าเครื่องจักรผลิตชิปเพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 3 มูลค่ารวม 24.12 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะเครื่องลิโธกราฟฟี่ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการผลิตชิปขั้นสูง แม้ว่าบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์จะหยุดส่งออกเครื่องลิโธกราฟฟี่รุ่นล้ำสมัยที่สุดให้จีนแล้ว แต่ความต้องการเครื่องรุ่นเก่ากว่าก็ยังสูงมาก สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนกำลังกักตุนอุปกรณ์เพื่อรับมือกับข้อจำกัดในอนาคต
กลยุทธ์รับมือการคว่ำบาตร
นอกจากการเร่งนำเข้าอุปกรณ์แล้ว บริษัทจีนยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ดังนี้:
- เพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ
- มองหาโอกาสจ้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
- สร้างพันธมิตรกับประเทศและบริษัทที่อาจรู้สึกถูกกีดกันจากนโยบายสหรัฐฯ
- ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมากขึ้น
“เราต้องขยายธุรกิจในต่างประเทศ อาจมีช่องทางนำเข้าชิ้นส่วนบางอย่างได้ หากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปไม่สามารถร่วมมือกันบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ” – จู จิง เจ้าหน้าที่สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ปักกิ่ง
ผลกระทบต่อวงการสมาร์ทโฟน
การปรับตัวครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมชิปจีนจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการสมาร์ทโฟนทั่วโลก เราอาจได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการออกแบบชิป และกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทานที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะส่งผลต่อสมรรถนะและฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนในอนาคต
สำหรับผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน การลงทุนและปรับกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมชิปจีนในครั้งนี้ อาจนำไปสู่การพัฒนาที่น่าตื่นเต้นและคาดไม่ถึง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของวงการในอีกหลายปีข้างหน้า