เทคโนโลยีการสื่อสารกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนสามารถเจาะระบบเครือข่ายโทรคมนาคมของสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Verizon, AT&T และ T-Mobile
แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะระบุว่าแฮกเกอร์ยังคงอยู่ในระบบเครือข่าย แต่ล่าสุดทั้ง Verizon และ AT&T ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเครือข่ายของตนปลอดภัยจากการโจมตีแล้ว ขณะที่ T-Mobile ก็ระบุว่าสามารถขับไล่แฮกเกอร์ออกจากระบบได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหาย
ความเสียหายจากการโจมตี
การโจมตีครั้งนี้ส่งผลกระทบร้ายแรง โดยแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ ดังนี้:
- เมตาดาต้าของผู้ใช้งานจำนวนมากในสหรัฐฯ
- ส่วนหนึ่งของข้อความ SMS
- บันทึกการติดต่อสื่อสาร
- เสียงบางส่วนจากการโทรศัพท์
นอกจากนี้ ยังมีการพุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์ของบุคคลสำคัญทางการเมือง รวมถึงประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ด้วย
การตอบสนองของผู้ให้บริการ
ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ต่างออกมาตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ ดังนี้:
Verizon
“เราไม่พบกิจกรรมของผู้โจมตีในเครือข่ายของ Verizon มาระยะหนึ่งแล้ว และหลังจากการทำงานอย่างหนักเพื่อจัดการกับเหตุการณ์นี้ เราสามารถรายงานได้ว่า Verizon ได้ควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
AT&T
“เราไม่พบกิจกรรมของผู้โจมตีในเครือข่ายของเราในขณะนี้ จากการสืบสวนการโจมตีครั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนมุ่งเป้าไปที่บุคคลจำนวนน้อยที่มีความสนใจด้านข่าวกรองต่างประเทศ ในกรณีที่ข้อมูลของบุคคลได้รับผลกระทบ เราได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการแจ้งเตือนโดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย”
T-Mobile
T-Mobile ยืนยันว่าไม่ได้เป็นหนึ่งใน 9 เครือข่ายที่ถูกโจมตี และไม่พบร่องรอยของผู้โจมตีในระบบ รวมทั้งไม่มีการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อความเสียง การโทร บันทึกการโทร และข้อความ
การดำเนินการของรัฐบาล
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมลับกับผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดการกับช่องโหว่ที่อาจถูกแฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ โดยมี John Stankey ซีอีโอของ AT&T เข้าร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางการยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีชาวอเมริกันกี่คนที่ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้ และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อใดที่ผู้โจมตีจะถูกขับไล่ออกจากระบบโทรคมนาคมของสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีดังกล่าว
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในยุคดิจิทัล และความจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารอย่างเร่งด่วน