สงครามภาษีนำเข้ากำลังส่งผลกระทบต่อ Apple อย่างหนัก โดยเฉพาะกับราคา iPhone ที่อาจต้องปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากที่บริษัทพยายามรักษาราคาเริ่มต้นของ iPhone รุ่น Pro ไว้ที่ $999 มาตั้งแต่ปี 2017 แต่ด้วยภาษีนำเข้าใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในหลายประเทศที่ Apple ใช้เป็นฐานการผลิต ทำให้บริษัทต้องหาทางรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบจากภาษีนำเข้าใหม่ต่อ Apple
ภาษีนำเข้าใหม่ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะการผลิตในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ที่ Apple พยายามย้ายฐานการผลิตไปเพื่อลดการพึ่งพาจีน โดยอัตราภาษีใหม่ในแต่ละประเทศมีดังนี้:
- อินเดีย (ผลิต iPhone, AirPods): 26%
- เวียดนาม (ผลิต iPad, Mac, Apple Watch, AirPods): 46%
- มาเลเซีย (ผลิต Mac): 24%
- ไทย (ผลิต Mac): 37%
- ไอร์แลนด์ (ผลิต iMac): 20%
- อินโดนีเซีย (ผลิตชิ้นส่วน AirTags, AirPods Max): 32%
- จีน (ผลิตทุกผลิตภัณฑ์): 54%
จะเห็นได้ว่าการกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตของ Apple ไม่สามารถป้องกันผลกระทบจากภาษีนำเข้าใหม่ได้อย่างที่คาดหวังไว้ บริษัทจึงจำเป็นต้องวางแผนรับมืออย่างเร่งด่วน

4 กลยุทธ์ของ Apple ในการรับมือภาษีนำเข้า
Mark Gurman นักวิเคราะห์จาก Bloomberg รายงานว่า Apple มีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ 4 ข้อเพื่อหลีกเลี่ยงการผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคโดยตรง อย่างน้อยในระยะสั้น ดังนี้:
- กดดันซัพพลายเออร์ ให้เสนอราคาชิ้นส่วนและค่าประกอบที่ถูกลง โดยอาศัยอำนาจต่อรองที่มีมายาวนาน
- แบกรับต้นทุนบางส่วนเอง เนื่องจาก Apple มีอัตรากำไรขั้นต้นจากฮาร์ดแวร์สูงถึง 45% จึงยังมีช่องว่างให้รับภาระได้บ้าง
- พิจารณาปรับราคา iPhone แต่อาจหลีกเลี่ยงการทำให้เรื่องราคาเป็นประเด็นหลักในการเปิดตัว iPhone 17 ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
- ขยายการผลิตในประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษี เช่น บราซิลและอินเดีย แม้จะไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้รวดเร็วนัก โดยเฉพาะสำหรับรุ่น Pro
นอกจากนี้ Apple ยังได้สะสมสต็อก iPhone และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ เพื่อซื้อเวลาในการปรับตัว ซึ่งอาจทำให้การปรับราคาเกิดขึ้นในรอบการเปิดตัว iPhone รุ่นถัดไป พร้อมกับการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ใหม่ เพื่อลดแรงต้านจากผู้บริโภค
ผลกระทบต่อคู่แข่งในตลาดสมาร์ทโฟน
ในขณะที่ Apple กำลังเผชิญความท้าทายด้านต้นทุน คู่แข่งอย่าง Samsung และ Google อาจไม่ได้รับผลกระทบมากเท่า เนื่องจาก:
- Samsung ยังคงผลิตในเกาหลีใต้และเวียดนามเป็นหลัก
- Google กำลังขยายฐานการผลิตในอินเดีย
หาก Apple จำเป็นต้องขึ้นราคาในขณะที่คู่แข่งไม่ได้รับผลกระทบ อาจทำให้แบรนด์อื่นได้เปรียบในตลาดที่อ่อนไหวต่อราคาชั่วคราว
“การขึ้นราคาแม้เพียงเล็กน้อยในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ Apple เนื่องจากราคา iPhone ในประเทศนี้เป็นเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี” – Mark Gurman, Bloomberg
ทั้งนี้ Apple อาจเลือกปรับราคา iPhone 17 Pro รุ่นเริ่มต้นอย่างแนบเนียน เช่น ปรับเปลี่ยนขนาดความจุหรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อสร้างความคุ้มค่า แต่หากราคาปรับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทได้
การตัดสินใจของ Apple ในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเราจะได้เห็นกันว่าบริษัทจะรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า