สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน วันนี้มีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับชิปโมเด็ม 5G ของ Apple ที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ค่ะ หลังจากที่ Apple ได้ซื้อหน่วยธุรกิจโมเด็มสมาร์ทโฟนของ Intel มาในราคา 1 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2019 ในที่สุด Apple ก็พร้อมที่จะเริ่มใช้ชิปโมเด็ม 5G ที่พัฒนาขึ้นเองแทนที่ชิป Qualcomm Snapdragon ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในรุ่น iPhone SE 4 ที่จะเปิดตัวต้นปี 2025 นี้ค่ะ
ทำไม Apple ถึงเลือกใช้ชิปโมเด็ม 5G ในตัวกับ iPhone SE 4?
มีเหตุผลหลายประการที่ Apple เลือกใช้ชิปโมเด็ม 5G ในตัวกับ iPhone SE 4 ก่อนรุ่นอื่นๆ:
- เป็นรุ่นราคาประหยัด หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะกระทบผู้ใช้น้อยกว่ารุ่นพรีเมียม
- เป็นการทดสอบประสิทธิภาพในสถานการณ์จริงก่อนนำไปใช้กับรุ่นอื่น
- ชิปรุ่นแรกยังไม่รองรับคลื่น mmWave ที่ให้ความเร็วสูงสุด จึงเหมาะกับรุ่นประหยัด
- ทำให้ Apple มีเวลาพัฒนาและปรับปรุงชิปก่อนนำไปใช้กับรุ่นไฮเอนด์
ความสามารถของชิปโมเด็ม 5G ของ Apple
ชิปโมเด็ม 5G ในตัวของ Apple มีชื่อรหัสว่า “Sinope” โดยมีความสามารถดังนี้:
- รองรับคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6 GHz
- รองรับการรวมคลื่นสัญญาณ 4 ย่านความถี่
- ความเร็วสูงสุด 4 Gbps
- ใช้พลังงานน้อยกว่าชิป Qualcomm
- ค้นหาเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รองรับการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมได้ดีกว่า
แม้จะยังช้ากว่าชิป Qualcomm ในบางด้าน แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป และ Apple ยังมีแผนพัฒนาให้ดีกว่าชิป Qualcomm ภายในปี 2027 อีกด้วยค่ะ
iPhone รุ่นอื่นที่จะใช้ชิปโมเด็ม 5G ของ Apple
นอกจาก iPhone SE 4 แล้ว Apple ยังมีแผนใช้ชิปโมเด็ม 5G ในตัวกับ iPhone 17 Air ด้วย ซึ่งเป็นรุ่นที่บางพิเศษ คาดว่าจะบางกว่า iPhone 16 Pro ถึง 2 มม. โดยจะมาแทนที่รุ่น Plus ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขายค่ะ
ถือเป็นก้าวสำคัญของ Apple ในการพัฒนาชิปสำคัญขึ้นเองเพื่อลดการพึ่งพา Qualcomm และควบคุมระบบนิเวศของตัวเองได้มากขึ้น เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าชิปโมเด็ม 5G ของ Apple จะมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไรเมื่อเปิดตัวจริงค่ะ