สาวกแอปเปิลมีเฮ! ข่าวดีมาแล้วสำหรับคนที่ชอบซ่อมมือถือด้วยตัวเอง เพราะล่าสุดแอปเปิลได้เพิ่มอะไหล่แท้สำหรับ iPhone 16 ทุกรุ่นในโปรแกรม Self Service Repair แล้ว ทั้ง iPhone 16, 16 Plus, 16 Pro และ 16 Pro Max เรียกได้ว่าครบครันตั้งแต่แบตเตอรี่ยันกระจกหลัง
โปรแกรม Self Service Repair นี้เปิดตัวมาได้สักพักแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถซ่อมอุปกรณ์ของตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ขยายมาครอบคลุมถึง iPhone รุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 16 ด้วย นับเป็นก้าวสำคัญของแอปเปิลในการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีทางเลือกในการซ่อมบำรุงอุปกรณ์มากขึ้น
อะไหล่ที่สามารถเปลี่ยนได้ใน iPhone 16
สำหรับใครที่ iPhone 16 มีปัญหา สามารถเข้าไปที่ร้าน Self Service Repair ของแอปเปิล เลือกรุ่นที่ใช้ และสั่งซื้ออะไหล่ต่างๆ ได้ เช่น:
- กระจกหลัง
- แบตเตอรี่
- กล้อง
- ลำโพงด้านบน
- กล้อง TrueDepth
- ถาดซิม
ราคาชุดซ่อมและอะไหล่
แอปเปิลมีทั้งชุดซ่อมครบชุดและอะไหล่แยกชิ้น โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามรุ่นและชิ้นส่วน ยกตัวอย่างเช่น:
- ชุดแบตเตอรี่พร้อมสกรูสำหรับ iPhone 16 Pro Max ราคา $119
- ชุดเดียวกันสำหรับ iPhone 16 ธรรมดา ราคา $99
นอกจากนี้ แอปเปิลยังมีการให้เครดิตคืนหากส่งชิ้นส่วนเก่ากลับไปด้วย เช่น กรณีแบตเตอรี่ iPhone 16 Pro Max หากส่งแบตเก่าคืนจะได้เครดิต $57.12 ทำให้ราคาสุทธิเหลือเพียง $61.88
เปรียบเทียบความสามารถในการซ่อมระหว่าง iPhone 16 กับ iPhone 15
iPhone 16 มีการพัฒนาด้านการซ่อมบำรุงที่ดีขึ้นกว่า iPhone 15 อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใน iPhone 16 Pro และ Pro Max ที่มีการออกแบบแบบโมดูลาร์มากขึ้น ทำให้การเปลี่ยนชิ้นส่วนทำได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนๆ
“การออกแบบภายในของ iPhone 16 ได้รับการปรับปรุงให้เข้าถึงส่วนประกอบต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น แบตเตอรี่และโมดูลกล้อง” – iFixit
จากการวิเคราะห์ของ iFixit พบว่า:
- iPhone 15 ได้คะแนนความสามารถในการซ่อม 4/10 เนื่องจากชิ้นส่วนที่ประกอบแน่นและการแยกส่วนทำได้ยาก
- iPhone 16 ได้คะแนนสูงถึง 7/10 เพราะการออกแบบแบบโมดูลาร์ทำให้ผู้ใช้สามารถซ่อมได้ง่ายขึ้นมาก
ย้อนรอยโปรแกรม Self Service Repair ของแอปเปิล
โปรแกรม Self Service Repair เปิดตัวในปี 2022 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแอปเปิล เพราะก่อนหน้านี้บริษัทค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการซ่อม ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา Apple Store หรือศูนย์ซ่อมที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
การเปิดโปรแกรมนี้เป็นการตอบสนองต่อกระแส “Right to Repair” ที่เรียกร้องให้ผู้บริโภคมีสิทธิ์ซ่อมอุปกรณ์ของตนเองได้ โดยไม่ถูกบังคับให้ต้องผ่านผู้ผลิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แอปเปิลยังคงย้ำว่าบริการนี้เหมาะสำหรับ “บุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ส่วนผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจยังควรเลือกใช้บริการจาก Apple Store หรือศูนย์ซ่อมที่ได้รับการรับรองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
โปรแกรมนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรับประกันหรือต้องพึ่งพาบริการจากบุคคลที่สาม นอกจากนี้ยังเป็นตัวอย่างสำคัญของการเพิ่มอำนาจให้ผู้บริโภคในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกด้วย